วันพุธที่ 30 พฤษภาคม พ.ศ. 2550
อันเดรอา ปัลลาดีโอ (Andrea Palladio, 30 พฤศจิกายน ค.ศ. 1508 – 19 สิงหาคม ค.ศ. 1580) เป็นสถาปนิกชาวอิตาลีที่ได้รับการยอมรับว่าเป็นผู้ที่มีอิทธิพลมากที่สุดผู้หนึ่งทางด้านแนวคิดการออกแบบในประวัติศาสตร์สถาปัตยกรรมตะวันตก ผลงานชิ้นสำคัญของ ปัลลาดิโอ คือหนังสือชื่อ ได้แก่ Quattro Libri dell'Architettura หรือ เดอะ โฟร์ บุคส์ ออฟ อาร์คิเท็คเจอร์ (The Four Books of Architecture)
วันจันทร์ที่ 28 พฤษภาคม พ.ศ. 2550
ไพ่นกกระจอก (จีนตัวเต็ม: 麻將; จีนตัวย่อ: 麻将; พินอิน: má jiàng; หรือ จีนกวางตุ้ง: 麻雀; พินอิน: má què; แต้จิ๋ว: เหมาะเจี๊ยะ; อังกฤษ Mahjong) ถือว่าเป็นการพนันชนิดหนึ่งซึ่งคนจีนเป็นผู้เผยแพร่ แต่สำหรับที่ประเทศจีนนั้นเขามีการสนับสนุนให้มีการเล่นนี้ เพราะถือว่าเป็นสิ่งที่ควรอนุรักษ์แต่ก็ต้องอยู่ภายใต้กฎหมายที่ได้วางไว้ โดยห้ามเล่นเกินเที่ยงคืน
ร่องรอยประวัติศาสตร์ของไพ่นกกระจอกสามารถพิสูจน์ได้ครึ่งหลัง ปี ค.ศ.1890 ใน ดินแดน Ning Po ประเทศจีน ไพ่นกกระจอกได้แพร่หลายไปทั่วจีน ซึ่งแต่ละพื้นเมืองของจีนก็มีการประยุกต์เกมกันไปต่างก็มีกฎเป็นตัวของตัวเองแตกต่างกัน หลังสงครามโลก โจเซฟ บาบคอก (Joseph Babcock) แพทย์ฝึกหัดชาวอเมริกาในเซี่ยงไฮ้ ได้จัดพิมพ์คู่มือเล่นไพ่นกกระจอกตามคำแนะนำของ Walker วิศวกรชาวอังกฤษ ว่�! ��ให้เพิ่มตัวเลขอารบิกลงไปบนตัวหมากซึ่งทำให้จำแนกตัวหมากได้และง่ายต่อการเล่น
สารบัญ
ไพ่นกกระจอกจะมีไพ่ทั้งหมด 5 ชุดมาตรฐานด้วยกัน ได้แก่ ชุดท้ง ชุดเสาะ ชุดบ่วง ชุดทิศทั้งสี่ และชุดมังกร ผู้เล่นไพ่นกกระจอกบางกลุ่มอาจจะมีทั้ง 7 ชุดด้วยกัน โดยชุดที่เพิ่มมานั่นคือ ชุดดอกไม้และชุดฤดูกาล
หน้าตาไพ่และอุปกรณ์
ลายไพ่มีลักษณะเป็นวงกลมสีสันมีตั้งแต่เลข 1-9 ซึ่งแต่ละตัวจะมีอย่างละ 4 ตัว ดังนั้นจึงมีทั้งหมด 36 ตัวด้วยกัน
ชุดท้ง
เสาะ แปลได้เป็นกิ่งไม้ ดังนั้นลักษณะของไพ่ชุดนี้จะเป็นท่อนสีเขียว ไพ่ชุดนี้ผู้ผลิตบางรายจึงออกแบบให้เลขหนึ่งของชุดเป็นนกเกาะบนกิ่งไม้ ชุดนี้จะมีตั้งแต่ 1-9 มีอย่างละ 4 ตัว ซึ่งรวมแล้วมีทั้งหมด 36 ตัว
ชุดบ่วง
ทิศ มีทั้งหมด 4 ทิศด้วยกัน ได้แก่ ตง ทิศตะวันออก หน่ำ ทิศใต้ ไซ ทิศตะวันตก ปัก ทิศเหนือ แต่ละทิศมีอย่างละ 4 ตัว เพราะฉะนั้นชุดนี้มีทั้งหมด 16 ตัว
ชุดทิศ
มังกรมีทั้งหมด 3 พันธุ์ ได้แก่ มังกรแดง "อั่ง" มังกรเขียว "แชฮวด หรือ ฮวดไช้" มังกรขาว "แปะปั้ง" มีทั้งหมด 12 ตัวด้วยกัน (มีอย่างละ 4 ตัว)
มังกร
มีพันธุ์ดอกไม้ด้วยกัน 4 พันธุ์ ได้แก่ พลัม กล้วยไม้ เก็กฮวยและไผ่ ชุดนี้ก็จะมีอักษรจีนเขียนกำกับไว้เช่นเดียวกัน แต่ละพันธุ์ไม้มีอย่างละ 4 ตัว รวมทั้งหมดมี 16 ตัวด้วยกัน ชุดพันธุ์ไม้นี้ผู้เล่นบางกลุ่มอาจจะไม่นับชุดนี้มาเล่น
ชุดดอกไม้
มีลักษณะคล้ายๆ รูปดอกไม้ แต่มีจะมีอักษรจีนกำกับไว้ว่าเป็นฤดูอะไร จะมีฤดูด้วยกัน 4 ฤดู ได้แก่ ฤดูใบไม้ผลิ ฤดูร้อน ฤดูใบไม้ร่วง และฤดูหนาว แต่ละฤดูมีอย่างละ 4 ตัวด้วยกัน ดังนั้นจึงมีทั้งหมด 16 ตัว ชุดฤดูกาลนี้ผู้เล่นบางกลุ่มอาจจะไม่นับชุดนี้เข้ามาเล่นเช่นกัน
ชุดฤดูกาล
การเล่นไพ่นกกระจอกขาดไม่ได้เลยก็คือ ลูกเต๋า 3 ลูก และตัวกำหนดทิศ ซึ่งจะกำหนด 4 ทิศหลักเท่านั้น ซึ่งก็คือ ทิศตะวันออก ทิศใต้ ทิศตะวันตกและทิศเหนือ
ลูกเต๋าและตัวกำหนดทิศ
โต๊ะสี่เหลี่ยม 36×36 นิ้ว หรือแล้วแต่ตามสะดวกของผู้เล่น
โต๊ะ
วิธีการเล่น
มีการกำหนดกฎก่อนการเล่น อย่างเช่น ตัวเลขมากที่สุดของคะแนนในการชนะและการชนะแบบพิเศษ
กฎ
ผู้เล่น 4 คน (2, 3 คนก็เล่นได้)
จำนวนผู้เล่น
ไพ่นกกระจอกเป็นการสะสมไพ่ให้ครบ 4 กลุ่มจากการ "เฉ่า", "ผ่อง" หรือ "กั่ง" และต้องมีคู่ไพ่ที่เหมือนกันเรียกว่า "หนั่ง" เวลาชนะผู้ชนะต้องพูด "เหมาะเจี๊ยะ"
ชนะอย่างไร
"เฉ่า" คือเรียงลำดับตัวไพ่ในชุดเดียวกัน 3 ตัว จากไพ่ชุดใดๆ ก็ได้ เป็นการเก็บไพ่จากผู้เล่นที่มีตำแหน่งทิศสูงว่าเราซึ่งก็คือคนที่นั่งทางซ้ายมือเรา เมื่อเขาทิ้งไพ่ลงมาแล้วในมือเรามีไพ่ชุดเดียวกันในมือ 2 ตัว (ต้องเป็นการเรียงลำดับ) เราต้องพูดว่า "เฉ่า" เพื่อที่เราจะได้เก็บไพ่ขึ้นมาเป็นของเรา และต้องเปิดไพ่ที่เราเลือกนำมาเรียงเป็นลำดับด้วย 3 ตัว
เฉ่า
"ผ่อง" คือ กลุ่มไพ่ที่มีไพ่ 3 ตัวเหมือนกันจากชุดไพ่ใดๆ ก็ได้ เป็นการเก็บไพ่จากที่ผู้เล่นอื่นทิ้งไพ่ลงมาสามารถเก็บได้จากผู้เล่นทุกคน การ "ผ่อง" นี้เราต้องมีไพ่แบบเดียวกันในมือ 2 ตัว เมื่อผู้เล่นใดๆ ทิ้งไพ่แบบที่เรามีเราต้องพูดออกไปว่า "ผ่อง" แล้วเราจะเก็บไพ่ตัวนั้น (การ "ผ่อง" สามารถเก็บไพ่ข้ามต่ำแหน่งทิศได้) และต้องเปิดกลุ่มไพ่ที่เรา "ผ่อง" ด้ว�! ��
ผ่อง
"กั่ง" คือไพ่ตัวเดียวกัน 4 ตัว จากชุดไพ่ใดๆ ก็ได้ การ "กั่ง" สามารถ "กั่ง" ได้ 2 วิธี
"กั่ง" เป็นการเก็บไพ่มีหลักคล้ายๆ การ "ผ่อง" คือเราต้องมีไพ่ที่เหมือนกันในมือ 3 ตัวอยู่แล้ว เมื่อผู้เล่นใดๆ ทิ้งไพ่แบบที่เรามีในมือลงมาเราต้องพูด "กั่ง" จึงสามารถเก็บไพ่และต้องเปิดไพ่ด้วย แต่ที่แตกต่างไปจากการ "ผ่อง" คือ การ "กั่ง" สามารถจั่วไพ่เพิ่มได้อีก 1 ตัว จากไพ่ตัวสุดท้ายที่คว่ำที่อยู่แถวสุดท้าย
"กั่ง" โดยที่เรามีไพ่เหมือนกันอยู่แล้ว 3 ตัวในมือและเราสามารถจั่วไพ่ตัวที่ 4 ขึ้นมาได้ให้พูด "กั่ง" และเปิดไพ่ และสามารถจั่วไพ่เพิ่มได้อีก 1 ตัว จากไพ่ตัวสุดท้ายที่คว่ำอยู่แถวสุดท้าย
กั่ง
"หนั่ง" คือ ไพ่ 2 ตัวเหมือนกันจากชุดไพ่ใดๆ ก็ได้ไม่ว่าจะเป็นชุดท้ง, เสาะ, บ่วง, มังกรหรือทิศ "หนั่ง" นี้ไม่ได้เป็นหนึ่งวิธีในการเก็บไพ่ แต่มันเป็นคู่ไพ่ที่สำคัญมาก หากผู้เล่นใดสามารถสะสมไพ่ครบ 4 กลุ่มแล้วแต่หากขาดคู่ "หนั่ง" นี้ก็ยังไม่ชนะ (สามารถดูตัวอย่างได้จาก การชนะแต่ละประเภท)
หนั่ง
นำไพ่ทั้ง 5 ชุดซึ่งได้แก่ ชุดท้ง, เสาะ, บ่วง, ทิศและมังกร มาคว่ำหน้าแล้วล้างไพ่ จากนั้นให้ผู้เล่นต่างช่วยกันสร้างกำแพงทั้งสี่ด้านขึ้นมาโดยให้ยาวด้านละ 17 ตัว 2 ชั้น (หมายถึงมีด้านบนและด้านล่างยาว 17 ตัวเท่ากัน) จากนั้นดันกำแพงที่ผู้เล่นสร้างมาไว้ด้านหน้าให้ตั้งเป็นแนวเฉียงล้อมให้เป็นกรอบสี่เหลี่ยมทั้ง 4 ด้าน
หมายเหตุ ในบทความนี้จะกล่าวถึงการเล่นไพ่นกกระจอกโดยการใช้ชุดไพ่มาตรฐาน 5 ชุดด้วยกัน
การสร้างกำแพง
การเล่นไพ่นกกระจอกจะมีการกำหนดทิศของผู้เล่นแต่ละคนโดยในที่นี้ทิศตะวันออก (เจ้ามือ) สูงกว่าทิศใต้ ทิศใต้สูงกว่าทิศตะวันตก ทิศตะวันตกสูงกว่าทิศเหนือ และทิศเหนือสูงกว่าทิศตะวันออก
เจ้ามือ คือผู้เล่นตำแหน่งทิศตะวันออกจะมีสิทธิในการทอยลูกเต๋า เพื่อเป็นตัวกำหนดว่าจะเริ่มหยิบไพ่จากกำแพงด้านใด ตัวที่เท่าไรในเกมนั้นๆ
ความสัมพันธ์ของผู้เล่น
ตำแหน่งของผู้เล่นถูกกำหนดโดยทิศให้นับทวนเข็มนาฬิกาเริ่มที่ ทิศตะวันออก, ทิศใต้, ทิศตะวันตกและทิศเหนือ
เมื่อผู้เล่นใดๆ คนหนึ่งชนะ (ไม่นับเจ้ามือ) ผู้เล่นในตำแหน่งทิศที่ต่ำกว่าได้เป็นเจ้ามือต่อไป และตำแหน่งทิศก็จะเปลี่ยนไป
ถ้าเจ้ามือเป็นฝ่ายชนะตำแหน่งยังคงเป็นเหมือนเดิมไม่มีการเปลี่ยนแปลง
ตำแหน่ง
การเริ่มเล่นทุกครั้งจะอยู่ที่ทิศตะวันออกเล่นให้ครบ 4 คนแล้วจึงเปลี่ยนทิศถัดไปเรื่อยๆ อย่างนี้จนถึงทิศเหนือครบสี่คนเป็นอันจบเกม (ตำแหน่งทิศของผู้เล่นก็จะเปลี่ยนไปด้วย) ไพ่นกกระจอกในการเล่นแต่ละรอบอาจจะมากกว่า 4 รอบก็ได้หากผู้ชนะเป็นคนเดิม
รอบและการเปลี่ยนรอบ
ตั้งกำแพงเรียบร้อยแล้วให้ผู้เล่นคนใดคนหนึ่งทอยลูกเต๋า (โยนในกำแพง) เพื่อกำหนดตำแหน่งเริ่มเกม
หมายเหตุ ในที่นี้ผลหน้าลูกเต๋าคือ 4
กำหนดตำแหน่งเริ่มเกม สุ่มตำแหน่งเริ่มเล่นโดยการทอยลูกเต๋าแล้วนับทวนเข็มนาฬิกา เมื่อนับแล้วไปลงที่ใครคนนั้นก็เป็นทิศตะวันออก
(a) เป็นคนทอยลูกเต๋า สมมุติว่าผลออกมาคือ 4 ก็ให้เริ่มนับทวนเข็มนาฬิกาจากตำแหน่งที่ (a) นั่งไป
ดังนั้นเราควรจะเริ่มทิศตะวันออกที่ตำแหน่งดังต่อไปนี้
การหยิบไพ่ ขึ้นอยู่กับตัวเลขบนหน้าลูกเต๋าในที่นี้สมมุติลูกเต๋าออกมาเป็น 4
ต้องนับบล็อกเข้าไปตามผลหน้าลูกเต๋า (นั่นก็คือ 4) ab ที่เห็นในภาพคือจำนวนบล็อกที่ผู้เล่นต้องหยิบไป (2 บล็อก มีไพ่ 4 ตัว)
นับทวนเข็มนาฬิกาเริ่มจากเจ้ามือไป เมื่อไปจบที่หน้าใครก็แสดงว่ากำแพงทิศนั้นจะเป็นกำแพงที่จะหยิบไพ่ (ในที่นี้คือทิศเหนือ)
ให้นับตัวไพ่ไปตามตัวเลขบนหน้าลูกเต๋าตามเข็มนาฬิกา (ผลลูกเต๋าออกมา 4 ก็นับไป 4 แล้วจึงจะเริ่มหยิบตัวที่ 5)
เจ้ามือ (ผู้เล่นทิศตะวันออก) จะเป็นคนหยิบไพ่ก่อน ให้หยิบสี่ตัว (ตัว ab จะได้ไพ่ 4 ตัวเพราะมีด้านบนและด้านล่าง) จากนั้นผู้เล่นทิศใต้, ตะวันตก และทิศเหนือจะได้เป็นผู้หยิบไพ่เรียงตามลำดับ ทำซ้ำไปเรื่อยๆ จนผู้เล่นทุกคนได้ไพ่ครบ 12 ตัว
เจ้ามือเริ่มหยิบไพ่ 1 ตัว และหยิบไพ่ข้ามบล็อกไป 1 ตัว ดังภาพ ส่วนผู้เล่นคนอื่นๆ หยิบไปคนละ 1 ตัว (เวลาเล่นผู้เล่นทุกคนจะมีไพ่อยู่ในมือทั้งหมด 13 ตัว ส่วนตัวที่ 14 ของเจ้ามือที่หยิบไพ่ขึ้นมานั้นเป็นตัวจั่ว)
ภาพแสดงการหยิบไพ่ตัวที่ 13 และการจั่วไพ่ของผู้เล่นทิศตะวันออก
เจ้ามือมีไพ่อยู่ในมือทั้งหมด 14 ตัว ผู้เล่นคนอื่นๆ มีทั้งหมด 13 ตัว
ภาพแสดงจำนวนไพ่ในมือของแต่ละผู้เล่น
ในกรณีที่ผลหน้าลูกเต๋าออกมาเป็น 17
ให้เจ้ามือนับทวนเข็มนาฬิกาโดยเริ่มนับที่ตำแหน่งทิศตะวันออก เราจะเห็นได้ว่ามันจะเป็นกำแพงที่หน้าทิศตะวันออก
ให้นับจากด้านขวาของกำแพงที่ 17 นับตัวไพ่ไป 17 ตัว จะเห็นว่ามันหมดกำแพงที่ 17 ไม่ต้องตกใจก็ให้หยิบไพ่ตัวถัดไปจากกำแพงถัดไปได้เลย
ภาพแสดงการหยิบไพ่โดยที่ผลหน้าลูกเต๋าออกมาเป็น 17
เจ้ามือทิ้งไพ่ลงมา 1 ตัวซึ่งเป็นไพ่ที่ไม่ต้องการ จากนั้นผู้เล่นตำแหน่งทิศถัดไปจะจั่วไพ่ขึ้นมาไว้ในมือและทิ้งไพ่ที่ไม่ต้องการออกไป (ให้ผู้เล่นทุกคนทิ้งไพ่ที่ไม่ต้องการให้อยู่ในกรอบกำแพง)
ภาพแสดงการทิ้งไพ่
ไพ่ที่ไม่ต้องการของผู้อื่นอาจจะมีประโยชน์กับเรา ดังนั้นควรดูให้ดีๆ ว่าเราคอยไพ่อะไรอยู่และเขาทิ้งไพ่อะไรลงมา
ตะโกน "เฉ่า" ออกไปหากผู้เล่นในตำแหน่งที่สูงกว่าเรา(ผู้เล่นที่นั่งทางซ้ายมือของเรา)ทิ้งไพ่ที่เราคอยอยู่และเราต้องเปิดไพ่ที่เรา "เฉ่า" ขึ้นมาด้วย (ดูคำอธิบายเพิ่มที่ ชนะอย่างไร: "เฉ่า")
ตะโกน "ผ่อง" ออกไปหากผู้เล่นใดๆ ทิ้งไพ่ที่เราคอยอยู่และเราต้องเปิดไพ่ที่เรา "ผ่อง" ด้วย (ดูคำอธิบายเพิ่มที่ ชนะอย่างไร: "ผ่อง")
ตะโกน "กั่ง" ออกไปหากผู้เล่นใด ทิ้งไพ่ที่เรามีอยู่ในมือแล้ว 3ตัว หรือเราจั่วตัวที่ 4 ขึ้นมาได้ และเราจะได้หยิบไพ่ตัวพิเศษ (ดูคำอธิบายเพิ่มที่ ชนะอย่างไร: "กั่ง")
หากผู้เล่นใดๆ ทิ้งไพ่ลงมาและมีคนร้อง "เหมาะเจี๊ยะ" ถือว่าจบเกม ผู้เล่นอื่นๆ ที่จะ "เฉ่า", "ผ่อง" หรือ "กั่ง" ไม่มีสิทธิในการเก็บไพ่ตัวนั้นแล้ว ผู้ชนะจะต้องเปิดไพ่ให้ทุกคนดูด้วย และผู้เล่นคนอื่นๆ ก็จะเปิดไพ่เช่นกัน
"กั่ง" มีสิทธิในการเก็บไพ่มากกว่า "เฉ่า" และ "ผ่อง" มีสิทธิในการเก็บไพ่มากกว่า "เฉ่า" (ดูคำอธิบายเพิ่มที่ ชนะอย่างไร)
ถ้าไพ่ที่ทิ้งลงมามันไม่มีประโยชน์สำหรับใครก็ให้ผู้เล่นคนถัดไปจั่วไพ่ขึ้นมาจากกำแพงขึ้นมา และทิ้งไพ่ที่ไม่ต้องการออกไป
เกมจะจบก็ต่อเมื่อมีคนร้อง "เหมาะเจี๊ยะ" ถ้าเจ้ามือเป็นฝ่ายชนะตำแหน่งยังคงเป็นเหมือนเดิม แต่ถ้าผู้เล่นคนอื่นเป็นฝ่ายชนะผู้เล่นในตำแหน่งทิศที่ต่ำกว่าจะได้เป็นเจ้ามือถัดไป และเป็นผู้ทอยลูกเต๋าเพื่อซุ่มตำแหน่งกำแพงต่อไป
เมื่อกำแพงไพ่เหลือ 14 ตัว (7 บล็อก) เกมจะเริ่มใหม่อีกครั้งที่เจ้ามือคนเดิมและตำแหน่งทิศเดิม
การเริ่มเกม
ในการชนะทุกครั้งต้องมีคู่ "หนั่ง" คือไพ่ที่หน้าตาเหมือนกันในมือ 2 ตัว และรวมไพ่ที่เรามีจากการ "เชา" "ผ่อง" และ/หรือ "กั่ง" ยกเว้นกรณีการชนะในกรณีพิเศษ (ดูเพิ่มที่ ชนะอย่างไร: "หนั่ง", ประเภทในการชนะในกรณีพิเศษ)
ถ้าผู้เล่นสองคนต้องการไพ่ตัวเดียวกันในการชนะ ผู้เล่นในตำแหน่งที่ต่ำกว่าสิทธิก่อน (หมายถึง ผู้เล่นที่นั่งในตำแหน่งที่ใกล้ที่สุดในการเวียนรอบ)
การชนะ
ถ้าผู้เล่นพบว่าไพ่ในมือตนเองมีการเรียงลำดับที่ต่างกันมากตัดสินใจยากในการทิ้งไพ่ในกรณีนี้เรียกมือตาย ผู้เล่นจะไม่สามารถชนะในเกมนี้ได้และต้องรอเล่นเกมนี้ให้จบ
มือตาย
ผู้เล่นแต่ละคนจะมีชิปเท่าๆ กัน ส่วนแต่ละชิบมีค่าเท่าไรขึ้นอยู่กับการตกลงของผู้เล่นเอง
ผู้เล่นที่ทิ้งไพ่ให้คนอื่นชนะต้องจ่ายเป็นสองเท่า
ถ้าผู้เล่นสามารถชนะได้ด้วยการจั่วไพ่ขึ้นมาเอง ผู้เล่นทุกคนต้องจ่ายให้สองเท่า
คะแนนพื้นฐาน
การชนะในการเล่นไพ่นกกระจอกนี้จะมีผู้ชนะเพียง 1 คน เท่านั้น ยกเว้นในบางกรณีที่ไม่มีผู้ชนะให้เริ่มเกมใหม่ในตำแหน่งเดิม
ผู้เล่นที่ทิ้งไพ่ให้คนอื่นชนะจะต้องจ่ายเป็นสองเท่า หากผู้เล่นสามารถชนะได้ด้วยการจั่วไพ่ขึ้นมาเอง ผู้เล่นทุกคนต้องจ่ายเป็นสองเท่าให้แก่ผู้ชนะ ในกรณีที่มีผุ้ชนะ 2 คน ให้ผู้เล่นในตำแหน่งที่ใกล้ที่สุดในการเวียนรอบเป็นฝ่ายชนะ (ดูที่คะแนนพื้นฐาน)
เนื่องด้วยบทความนี้ไม่สนับสนุนให้เล่นเชิงการเล่นพนัน ดังนั้นจึงไม่ขอบอกว่าวิธีชนะแต่ละวิธีนั้นจะได้มากน้อยเท่าไร
สังเกต เวลาชนะผู้เล่นจะต้องมีไพ่อยู่ในมือทั้งหมด 14 ตัว ยกเว้นในกรณีที่ผุ้เล่นมีการ "กั่ง"
การชนะแต่ละประเภท
ไค่วู่ เป็นการชนะด้วย "ผ่อง", "เฉ่า" หรือ "กั่ง" จากชุดไพ่ใดๆ ก็ได้และที่สำคัญต้องมีคู่ "หนั่ง" ด้วย
ไค่วู่
พิงวู่ เป็นการชนะด้วย "เฉ่า" อย่างเดียวเท่านั้น ซึ่งจะ "เฉ่า" จากชุดไพ่ใดๆ ก็ได้ และห้ามลืมคู่ "หนั่ง"
พิงวู่
ชนะด้วย "เฉ่า", "ผ่อง" หรือ "กั่ง" จากชุดไพ่ใดๆ ก็ได้ แต่ต้องมี "ผ่อง" และ/หรือ "กั่ง" จากชุดมังกรด้วยจะเป็นพันธุ์อะไรก็ได้ 1 พันธุ์ ซึ่งต้องถูกต้องกับรอบทิศหรือถูกต้องจากทิศตำแหน่งที่นั่งของผู้ชนะ
เหมือนกับ ไค่วู่ แต่จะแตกต่างตรงที่ผู้ชนะนั้นต้องจั่วไพ่ขึ้นมาได้เองถึงจะเป็น ยัดฟาน
ยัดฟาน
"เฉ่า", "ผ่อง" หรือ "กั่ง" จากชุดไพ่ต่างๆ มีคู่ "หนั่ง" และต้องมี "ผ่อง" และ/หรือ "กั่ง" จากชุดมังกรด้วย 2 พันธุ์ จะต้องถูกต้องจากรอบทิศหรือถูกต้องจากทิศตำแหน่งที่นั่งของผู้ชนะ
เหมือนกับ ยัดฟาน แต่ผู้ชนะต้องจั่วไพ่ได้เองถึงจะเป็น เหลียงฟาน
เหมือนกับ พิงวู่ เพียงแต่ผู้ชนะต้องจั่วไพ่ได้เองถึงจะนับว่าเป็น เหลียงฟาน
เหลียงฟาน
ชนะด้วยการ "เฉ่า", "ผ่อง หรือ "กั่ง" จากชุดไพ่เดียวกัน และคู่ "หนั่ง" ต้องมาจากชุดมังกร 1 พันธุ์ ต้องถูกต้องจากรอบทิศหรือถูกต้องจากทิศตำแหน่งผู้ชนะ
เป็นการชนะด้วยการ "ผ่อง" และ/หรือ "กั่ง" จากไพ่ใดๆ ก็ได้ เป็นจำนวน 3 กลุ่ม และ "ผ่อง" หรือ "เฉ่า" ก็ได้จำนวนอีก 1 กลุ่ม ห้ามลืมคู่ "หนั่ง" จากไพ่ชุดใดๆ ก็ได้ (หากเป็นการ "ผ่อง" และ/หรือ "กั่ง" จากไพ่ชุดมังกรทั้ง 3 พันธุ์, "ผ่อง" หรือ "เฉ่า" ก็ได้อีกจำนวน 1 กลุ่ม และคู่ "หนั่ง" เป็นอะไรก็ได้ ให้ไปดูที่ วิธีการชนะในกรณีพิเศษไทซัมเหยิน)
ซัมฟาน
เหมือนกับ ซัมฟาน นอกจากผู้ชนะต้องจั่วไพ่ขึ้นมาได้เองถึงจะเป็น เซฟาน
เซฟาน
ผู้เล่นชนะด้วยการ "เฉ่า", "ผ่อง" หรือ "กั่ง" และคู่ "หนั่ง" มาจากไพ่ชุดเดียวกันทั้งหมด และสามารถรวม 2 กลุ่ม จากการ "ผ่อง" และ/หรือ "กั่ง" จากชุดมังกร 2 พันธุ์ ซึ่งจะต้องถูกต้องจากรอบทิศและทิศตำแหน่งที่นั่งของผู้ชนะ
ชนะด้วยการ "เฉ่า", "ผ่อง" หรือ "กั่ง" และคู่ "หนั่ง" มาจากไพ่ชุดเดียวกันทั้งหมด
งี่ฟาน
ผู้ที่เล่นไพ่นกกระจอกและสามารถชนะผู้อื่นได้ 4 ประเภทต่อไปนี้ถือว่าเป็นบุญของนักเล่นมาก เพราะการชนะผู้อื่นด้วย 4 ประเภทนี้ถือได้ว่ามีโอกาสน้อยมาก
ประเภทการชนะในกรณีพิเศษ
ซับซัมหยิว จะชนะด้วยประเภทนี้จะต้องมีหนึ่งกับเก้าในแต่ละชุด (1,9 ชุดท้ง 1,9 ชุดเสาะ 1,9 ชุดบ่วง) มังกรสามพันธุ์ ทิศทั้งสี่ และในประเภทนี้คู่ "หนั่ง" เป็นตัวอะไรก็ได้ที่ในมือเรามี
ซับซัมหยิว
เชียงหยิว ส่วนมากเป็นการชนะด้วย "ผ่อง" และ/หรือ "กั่ง" หนึ่งและเก้าจากทุกชุด และต้องมีคู่ "หนั่ง" ด้วยซึ่งต้องเป็นหนึ่งหรือเก้าเท่านั้น
ไทซัมเหยิน
ไทเซเห เป็นการชนะด้วยชุดทิศซึ่งผู้เล่นสามารถ "ผ่อง" และ/หรือ "กั่ง" ก็ได้ และที่สำคัญต้องมีคู่ "หนั่ง" ด้วยจะเป็นอะไรก็ได้
วันอาทิตย์ที่ 27 พฤษภาคม พ.ศ. 2550
เสือร้องไห้ เป็นชื่อของอาหารประเภทกับแกล้ม โดยใช้เนื้อวัว บริเวณส่วนอกที่อ่อนนุ่มมีมันปนเล็กน้อย แล่เป็นชิ้นหนาตามยาว หมักด้วยซอสปรุงรส ย่างด้วยไฟอ่อนๆ นำมาหั่นให้พอดีคำ เวลารับประทานจิ้มด้วยน้ำจิ้ม หรือแจ่ว
เหตุที่ชื่อ "เสือร้องไห้" มาจากหลายแหล่ง อาทิ
เสือล่าวัวได้ แต่ถูกมนุษย์แย่งเอาเนื้อส่วนอกของวัวซึ่งเป็นส่วนที่อร่อยที่สุดไปเสียแล้ว เสือจึงร้องไห้ด้วยความเสียดาย
เสือล่าวัวได้ แต่กินเนื้ออื่นไปจนอิ่ม เหลือแต่เนื้อเสือร้องไห้ที่อยู่ในสุด ทำให้เสือร้องไห้ด้วยความเสียดาย
กิโมโน (「着物」, kimono, – คิโมะโนะ) เป็นชุดแต่งกายประจำชาติของประเทศญี่ปุ่น มีประวัติความเป็นมาช้านาน ชุดกิโมโนของผู้หญิงโสดเป็นกิโมโนแขนยาว ลวดลายที่นิยมคือลายดอกซากุระ กิโมโนของผู้หญิงแต่งงานแล้วจะเป็นกิโมโนแขนสั้นสีไม่ฉูดฉาดมากกิโมโน หรือชุดแต่งกายของชาวแดนปลาดิบ มีประวัติอันยาวนานตั้งแต่สมัยเฮอัน หรือตรงกับ ค.ศ.794-1192 ( ถ้าจะคิดเป็นพ.ศ. ก็ได้ ตรงกับป�! �� พ.ศ. 1337-1735 )ก่อนหน้านั้น ซึ่งเป็นสมัยนารา ( ค.ศ.710-794 ) ชาวญี่ปุ่นนิยมแต่งชุดท่อนบนกับท่อนล่างเหมือนกันหรือไม่ก็เป็นผ้าชิ้นเดียวกันไปเลย พอมาถึงสมัยเฮอัน ซึ่งถือเป็นช่วงเริ่มต้นการใส่กิโมโน ชาวญี่ปุ่นพัฒนาเทคนิคการตัดยุดเสื้อผ้าด้วยการตัดผ้าเป็นเส้นตรง เพื่อให้ง่ายต่อการสวมใส่ หยิบมาคลุมตัวได้ทันที ทั้งยังเป็นชุดที่เหมาะกับทุกสภาพอากาศ ถ้าหนาวๆ �! �ช้ผ้าหนา ถ้าเป็นฤดูร้อน� �็เปลี่ยนไปใช้ผ้าบางๆความสะดวกสบายนี้ทำให้ชุดกิโมโนแพร่หลายไปอย่างรวดเร็ว โดยวงการแฟชั่นสมัยนั้น ผู้ตัดเย็บก็จะคิดหาวิธีที่ทำให้ชุดกิโมโนมีสีสัน ผสมผสานกันด้วยสีต่างๆให้เหมาะสมกับสภาพอากาศและชนชั้นทาง สังคมถือว่าเป็นช่วงที่ชุดพัฒนาในเรื่อง สี มากที่สุด ในยุคคามาคุระ ( ค.ศ.1338-1573 ) ทั้งผู้หญิงและผู้ชายจะนิยมใส่ชุดกิโมโนที่สีสันแสบทรวง ยิ่งเป็น! นักรบจะต้องยิ่งใส่ชุดที่สีฉูดฉาดมากๆเพื่อแสดงถึงความเป็นผู้นำบางครั้งเรียกว่าไปแข่งแฟชั่นกันในสนาม รบเลยทีเดียว ต่อมาในยุคเอโดะ ( ค.ศ.1600-1868 ) ช่วงที่โชกุนโตกูกาวาปกครองญี่ปุ่น โดยให้ขุนนางไปปกครอง ตามแคว้นต่างๆ นั้น ในช่วงนี้นักรบซามูไรแต่ละสำนักจะแต่งตัวแบ่งแยกตามกลุ่มของตัวเอง เรียกว่าเป็น "ชุดเครื่องแบบ" เลยด้วยซ้ำชุดที่ใส่นี้ แบ่งออกเป็น 3 �! ��่วน คือ ชุดกิโมโน ชุดคาม� �ชิโม ตัดเย็บด้วยผ้าลินินใส่คลุมชุดกิโมโนเพื่อให้ไหล่ดูตั้ง และกางเกงขายาวที่ดูเหมือนกระโปงแยกชิ้นชุดกิโมโนของซามูไรจำเป็นต้องเนี้ยบมาก ดังนั้นจึงเป็นช่วงที่พัฒนากิโมโนไปอีกขั้น จนเป็นผลงานศิลปะชิ้นหนึ่ง สมัยต่อมา ในยุคเมจิ (ค.ศ.1868-1912) ญี่ปุ่นได้รับอิทธิพลจากต่างชาติรุนแรงมาก ชาวแดนปลาดิบ จึงเริ่มเปลี่ยนไปใส่เสื้อสากลมากขึ้น และจะใส่ชุดกิโม�! ��น เมื่อถึงงานที่เป็นพิธีการ
วันเสาร์ที่ 26 พฤษภาคม พ.ศ. 2550
ถนนศรีรับสุข เป็นชื่อถนนเริ่มจาก อนุสาวรีย์พิทักษ์รัฐธรรมนูญ ไปทางถนนแจ้งวัฒนะ เลี้ยวขวาเข้าถนนวิภาวดีรังสิต ไปสิ้นสุดบริเวณหน้าสนามบินดอนเมือง ปัจจุบัน คือแนวถนนแจ้งวัฒนะ - วิภาวดีรังสิต ตัดขึ้นเพื่อใช้เป็นเส้นทางไปสนามบินดอนเมือง
ในอดีต ยังไม่มีถนนวิภาวดีรังสิต การเดินทางไปสนามบินดอนเมือง จะต้องขับรถไปตามถนนพหลโยธิน เมื่อถึงอนุสาวรีย์พิทักษ์รัฐธรรมนูญ จึงเลี้ยวซ้ายไปตามถนนศรีรับสุข จนถึงสนามบินดอนเมือง
สำหรับชื่อ "ศรีรับสุข" เป็นนามสกุลเดิมของจอมพลอากาศฟื้น รณภากาศ ฤทธาคนี อดีตผู้บัญชาการทหารอากาศ
เนื้อหาในหัวข้อนี้เกี่ยวข้องกับมณฑลกวางตุ้ง สำหรับความหมายอื่นของคำว่า "กวางตุ้ง" ดู กวางตุ้ง (แก้ความกำกวม)
มณฑลกวางตุ้ง หรือ กว่างตง (จีนตัวย่อ: 广东省 จีนตัวเต็ม: 廣東省)แบ่งการปกครองออกเป็น 21 เมืองใหญ่ 30 เมืองระดับอำเภอ 42 อำเภอและ 3 เขตปกครองตนเอง ตั้งอยู่ตอนใต้สุดของประเทศ ทางใต้ติดกับทะเลจีนใต้ ใกล้กับเกาะฮ่องกงและมาเก๊า เป็นประตูสู่เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ และ มณฑลนี้นี่เองที่ประชากรส่วนมากได้อพยพไปตั้งถิ่นฐานในต่างประเทศ 100 กว่าปีที่แล้ว
สารบัญ
พื้นที่ทางเหนือยกตัวสูงทางใต้ต่ำ มีเทือกเขาและภูเขาขนาดเล็กตัดสลับกับที่ราบ มีแม่น้ำจูเจียง แม่น้ำสายยาวเป็นอันดับสามของประเทศไหลผ่านเป็นระยะทาง 2,122 กิโลเมตร มีพื้นที่บนแผ่นดินใหญ่ราว 178,600 ตร.กม.พื้นที่รวมของเกาะแก่งต่างๆ ราว 1,600 ตร.กม. ชายฝั่งทะเลยาวทั้งสิ้น 4,310 กิโลเมตร พื้นที่ภูเขามีสัดส่วน 31.7 % เทือกเขาขนาดเล็ก 28.5 % ที่ราบสูง 16.1% ที่ราบ 23.7 %
ภูมิประเทศ
อยู่ในเขตร้อนชื้น พื้นที่เกือบทั้งหมดมีสภาพภูมิอากาศแบบมรสุมเขตร้อนแถบเอเชีย ดังนั้น จึงมีฤดูร้อนที่ยาวนานและฤดูหนาวที่อบอุ่น ปริมาณน้ำฝนเฉลี่ย 1,366 มิลลิเมตรต่อปี อุณหภูมิเฉลี่ยทั้งปีระหว่าง 19-22 องศาเซลเซียส
ทรัพยากร
ประมาณ 80 ล้านคน มีภูมิลำเนาในกวางตุ้ง 74.73 ล้านคน(สำรวจสำมะโนประชากร มีนาคม 2001) กวางตุ้งมีชนเผ่าหลากหลายถึง 53 กลุ่ม นอกเหนือจากฮั่นแล้ว ยังมี จ้วง เย้า มุสลิม แมนจู อี๋ หลี แม้ว เป็นต้น
ปี 2003 ประชากรที่มีภูมิลำเนาใจกวางตุ้งเพิ่มเป็น 79.54 ล้านคน อัตราการเกิด 13.66% อัตราการตาย 5.31%
ประชากร
ปี 2003 ผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ(จีดีพี) ของมณฑล มีมูลค่า 1,344,993 ล้านหยวน เพิ่มขึ้น 13.6% มูลค่าการนำเข้าและส่งออกของมณฑลรวมทั้งสิ้น 283,646 ล้านเหรียญสหรัฐ เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว 28.3% โดยมีคู่ค้าที่สำคัญได้แก่ ฮ่องกง มูลค่าการค้า 59256 ล้านเหรียญฯ สหรัฐอเมริกา 44541 ล้านเหรียญฯ ญี่ปุ่น 34598 ล้านเหรียญฯ สหภาพยุโรป 30606 ล้านเหรียญฯ เพิ่มขึ้นจากปีที่แล้ว 24.4% 22.8% 29.6%แ! ละ 30.6% ตามลำดับ ทั้งนี้ คู่ค้าสำคัญ 10 อันดับแรก ได้แก่ ฮ่องกง สหรัฐอเมริกา ญี่ปุ่น ไต้หวัน เกาหลีใต้ เยอรมัน มาเลเซีย สิงคโปร์ ฮอลแลนด์และไทย
รายได้พลเมืองเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยเฉลี่ยต่อคนของชาวเมืองในครึ่งปีแรกของปี 2003 คิดเป็น 6,498.7 หยวน เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว 10.2% รายได้เฉลี่ยต่อคนของประชาชนในชนบทอยู่ที่ 1,957.6 หยวน เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว 6.4%
เศรษฐกิจ
เขตปกครองตนเองกวางตุ้งแบ่งเขตการปกครองออกเป็น 21 เมืองหรือจังหวัด (市) 23 เทศมณฑลระดับเมือง 41 เทศมณฑล (县) 54 เขต (区) และ 3 เขตปกครองตนเอง (自治县)
การแบ่งเขตการปกครอง
มีเพียง 15% ของพื้นที่ในมณฑล ที่สามารถทำการเพาะปลูกได้ โดยมีการปลูกข้าว 2 ครั้งต่อปี บนพื้นที่ 76% ของพื้นที่ที่เพาะปลูกได้ ผลผลิตข้าวยังนับเป็น 80% ของผลผลิตอาหารทั้งหมดของมณฑล
อุตสาหกรรม
สภาพการส่งออกในตลาดอเมริกา สหภาพยุโรป ญี่ปุ่น และฮ่องกงล้วนมีตัวเลขการเจริญเติบโตขึ้นอย่างสม่ำเสมอ นอกจากนี้ยังมีตลาดส่งออกในทวีปแอฟริกา กลุ่มอาเซียน อินเดีย และรัสเซียอีกด้วย สินค้าส่งออกที่สำคัญคือ ผลิตภัณฑ์เทคโนโลยีชั้นสูง เครื่องใช้ไฟฟ้า สินค้าแปรรูป
วันศุกร์ที่ 25 พฤษภาคม พ.ศ. 2550
วันพฤหัสบดีที่ 24 พฤษภาคม พ.ศ. 2550
ท่านผู้หญิงปรียา เกษมสันต์ ณ อยุธยา สมาชิกสภานิติบัญญัติแห่งชาติ พ.ศ. 2549
การศึกษา
ปริญญาตรี และโท ทางเภสัชศาสตร์
ปริญญาดุษฎีบัณฑิตกิตติมศักดิ์ ทางเภสัชศาสตร์ จากจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
รับราชการ
2518 ผู้อำนวยการกอง กองวิเคราะห์ยา กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์
2524 รองอธิบดี กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์
2528 รองปลัดกระทรวงสาธารณสุข
2531 อธิบดีกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์
2534 เลขาธิการคณะกรรมการอาหารและยา
ผลงานในอดีต
กรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช)
ประธานอนุกรรมการพิจารณาตรวจสอบการแสดงทรัพย์สินและหนี้สินอันเป็นเท็จของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร (นายกรัฐมนตรี)
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)